SCG ชู “เวียดนาม” เป็นตลาดยุทธศาสตร์หลัก ดันศูนย์กลางการผลิต-ส่งออกอาเซียน พร้อมเร่งปรับโครงสร้างปิโตรเคมีรับการแข่งขันโลก
เวียดนามถูกวางตำแหน่งเป็นตลาดยุทธศาสตร์หลักของ SCG จากศักยภาพการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในอาเซียน โดยในปี 2567 เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 7.1% และรัฐบาลตั้งเป้าผลักดัน GDP โตเฉลี่ยถึง 10% ต่อปีในช่วงห้าปีข้างหน้า พร้อมยกระดับสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2030 ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาวของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก
กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ Country Director – Vietnam ของ SCG เปิดเผยว่า ปัจจุบัน SCG และบริษัทในเครือ 28 แห่ง ได้ลงทุนในเวียดนามรวมกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 28% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และโลจิสติกส์ทั่วประเทศ โดยกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์มาจากการลงทุนด้านปิโตรเคมีซึ่งช่วยให้ SCG สามารถบริหารต้นทุนและสร้างโครงข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้เวียดนามขึ้นแท่นฐานการผลิตระดับภูมิภาค ได้แก่ ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทยราว 15–20% ค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าประมาณ 30–35% และกำลังซื้อภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่องจากประชากรกว่า 100 ล้านคน โดย 70% อยู่ในวัยแรงงาน ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของ GDP เติบโตอย่างแข็งแรง ควบคู่กับการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่มากกว่า 200 โครงการทั่วประเทศ ทั้งถนน รถไฟความเร็วสูง และระบบขนส่งสมัยใหม่ นอกจากนี้ เวียดนามยังมีข้อตกลงการค้าเสรีมากถึง 17 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ช่วยให้ผู้ผลิตในประเทศมีความได้เปรียบด้านภาษีอย่างชัดเจน เช่น การส่งออกเคมีภัณฑ์ไปยุโรปที่ถูกเก็บภาษี 0% ขณะที่สินค้าประเภทเดียวกันจากไทยถูกเก็บภาษี 6.5%
SCG จึงเดินหน้ากลยุทธ์ Regional Optimization เพื่อผสานจุดแข็งของเครือข่ายการผลิตในอาเซียนทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ให้เกิดการแบ่งบทบาทด้านการผลิต การตลาด และโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับแผนการผลิตร่วมกันระหว่าง Cracker ทั้งสามแห่ง ได้แก่ ROC–MOC–LSP เพื่อให้ไทยมุ่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ขณะที่โรงงาน Long Son Petrochemicals (LSP) ในเวียดนามจะมุ่งผลิตสินค้าเพื่อรองรับตลาดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และส่งออกต่อไปยังภูมิภาคอื่นของโลก
LSP ซึ่งเคยหยุดการเดินเครื่องชั่วคราวจากภาวะวัฏจักรปิโตรเคมีต่ำสุดในรอบ 30 ปี ได้กลับมาดำเนินงานแล้ว โดยผลิตเฉลี่ยราวสองแสนตันต่อเดือน หรือคิดเป็น 85–90% ของกำลังการผลิต แม้ผลประกอบการยังไม่พลิกมีกำไร แต่ขาดทุนน้อยกว่าช่วงที่หยุดเดินเครื่องอย่างชัดเจน โรงงานยังใช้จุดเด่นด้านความยืดหยุ่นของวัตถุดิบที่เลือกใช้ได้ทั้งแนฟทาและโพรเพน ทำให้ช่วงที่ราคาโพรเพนลดลง LSP สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้โพรเพนถึง 70% เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อรับมือความท้าทายในระยะยาว SCG ได้ลงทุนในโครงการ LSPE มูลค่าราว 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มการใช้ก๊าซอีเทนที่นำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งราคาผูกกับ LNG และสามารถลดต้นทุนวัตถุดิบลงได้ราว 30% ปัจจุบันโครงการคืบหน้า 20–25% อยู่ระหว่างการก่อสร้างถังเก็บอีเทนขนาดใหญ่สองถัง คาดเปิดใช้งานปลายปี 2570 ส่วนแผนลงทุน LSP เฟส 2 ถูกชะลอไว้ก่อน เนื่องจากสภาวะอุตสาหกรรมโลกยังชะลอตัว แต่จะมีการทบทวนรูปแบบโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดในอนาคต
ในประเด็นความกังวลด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐ กุลเชฏฐ์ประเมินว่าผลกระทบต่อ SCG เวียดนามยังมีจำกัด ธุรกิจหลักหลายส่วนเน้นตลาดภายในประเทศ เช่น ธุรกิจท่อพลาสติก BMP จึงไม่ถูกกระทบโดยตรง แม้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์บางส่วนมีการส่งออกไปสหรัฐ แต่ก็มีสัดส่วนน้อยมาก อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ขายในเงื่อนไข FOB ทำให้ต้นทุนภาษีและค่าขนส่งในสหรัฐเป็นภาระของผู้นำเข้า ไม่ใช่ของ SCG
นอกจากนี้ SCG ยังได้ประโยชน์จากกฎเกี่ยวกับ Transshipment ที่จำกัดสิทธิประโยชน์ของสินค้าที่นำเข้าและแปรรูปเพียงเล็กน้อยในเวียดนาม ซึ่งจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% เมื่อส่งออกไปสหรัฐ ทำให้การผลิตโดยผู้ประกอบการภายในประเทศอย่าง LSP ให้ข้อได้เปรียบกับลูกค้าในการลดความเสี่ยงด้านภาษีและเพิ่มความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทาน
ด้วยโครงสร้างการผลิตที่ครบวงจร ต้นทุนที่แข่งขันได้ และตลาดภายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง เวียดนามจึงกลายเป็นฐานกลยุทธ์ที่ช่วยให้ SCG เสริมความแข็งแกร่งทั้งด้านต้นทุน การตลาด และความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตระดับภูมิภาคในทศวรรษต่อไป

