นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์กล่าวว่า มหาวิทยาลัยนเรศวรมีศักยภาพและความพร้อมทั้งในเชิงพื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง สามารถเชื่อมโยงระหว่างภาค และเชื่อมโยงการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านโครงข่ายคมนาคมการขนส่งทางอากาศ ทางบก และทางรถไฟ ที่สามารถสนับสนุนการพัฒนาการบริการด้านโลจิสติกส์ในอนาคต และเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน การบริการและการท่องเที่ยวของภูมิภาคได้เป็นอย่างดี

ประกอบกับผลการดำเนินโครงการในการให้คำปรึกษาและการสร้างแพลตฟอร์มการบูรณาการของการแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ และการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของไทยมีทักษะด้านดิจิทัลซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจของประเทศ จะทำให้มหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นฐานในการสร้างองค์ความรู้ และมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงระดับโลกด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน

 

โดยขอให้มหาวิทยาลัยขยายผลการนำไปใช้ประโยชน์และการขับเคลื่อนนโยบายในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อส่งผลให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ภูมิภาค และระดับประเทศต่อไป

ศ.ดร.กรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า การพัฒนาโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  ซึ่งมหาวิทยาลัยนเรศวรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ และความต้องการด้านบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสําหรับการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนให้อยู่ในระดับที่สูง เช่น องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Digital Engineering and Artificial Intelligence)

Cr: prachachat