แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร มูลค่า 224,544 ล้านบาท ซึ่งมีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซี.พี.) เป็นคู่สัญญา ว่าขณะนี้ EEC อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีแนวคิดจะไม่แก้ไขสัญญาเดิม แต่จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาแทน ทั้งนี้ EEC ยังไม่ได้รับแจ้งรายละเอียดกำหนดการหรือรูปแบบการหารืออย่างเป็นทางการ

ในส่วนของกระบวนการแก้ไขสัญญา หลังสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาและมีข้อสังเกต 18 ประเด็น เบื้องต้นทางกลุ่มซี.พี.ได้ทำหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการวางหลักประกันสัญญาตามข้อเสนอของอัยการสูงสุดที่ระบุให้ รฟท.กำหนดหลักประกันครอบคลุมมูลค่าความเสี่ยงของงานโยธา ระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ พร้อมดำรงมูลค่าหลักประกันไว้อย่างน้อย 2 ปีหลังการเปิดให้บริการเดินรถทั้งระบบ ซึ่งทางกลุ่มซี.พี.ได้ชี้แจงว่าได้จัดวางหลักประกันครอบคลุมครบถ้วนแล้ว การเพิ่มหลักประกันอีกชั้นอาจซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น ขณะนี้หนังสือชี้แจงดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ รฟท. เพื่อส่งต่อให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานอาจล่าช้าออกไปเล็กน้อยหลังจากนายวีริศ อัมระปาล ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. ทำให้ต้องรอการแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าการคนใหม่ เพื่อดำเนินการลงนามส่งหนังสืออย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (ซึ่งประกอบด้วย บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC)) เป็นผู้ร่วมทุน ก็มีความเคลื่อนไหวสำคัญเช่นกัน หลังเอกชนส่งสัญญาณอาจขอยกเลิกสัญญาเนื่องจากความล่าช้าเกินกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ลงนามในปี 2563

แหล่งข่าวจาก EEC เปิดเผยว่า ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย EEC ยินยอมให้มีการปรับแผนการพัฒนาเฟสแรกของสนามบินอู่ตะเภา จากเดิมที่ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี มาเริ่มต้นเพียง 3 ล้านคนต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดการบินหลังวิกฤตโควิด-19 และการแข่งขันจากการขยายสนามบินของบริษัท ทอท. อีกทั้งข้อมูลปัจจุบันระบุว่าสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารเพียง 400,000 คนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับได้ราว 2–3 ล้านคนต่อปี ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการลงทุนในระยะเริ่มต้น หากเปิดบริการแล้วมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารแตะ 70% ของขีดความสามารถ ก็สามารถขยายต่อเป็น 6 ล้านคน และ 8 ล้านคนต่อปี ก่อนจะพัฒนาเต็มศักยภาพที่ 60 ล้านคนต่อปีตามแผนระยะยาวของสัญญา 50 ปี

ในข้อตกลงใหม่นี้ เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเดิมที่กำหนดให้เริ่มโครงการได้ก็ต่อเมื่อมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเริ่มดำเนินการแล้ว ขณะที่โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับของสนามบินได้เริ่มต้นแล้ว ซึ่งตามสัญญาเดิม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มสร้างควบคู่ไปด้วย ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าควรเริ่มโครงการโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก

สำหรับขั้นตอนต่อไป EEC จะนำเงื่อนไขใหม่เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เพื่อพิจารณาและรับทราบ ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป หลังได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองระดับแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการปรับแก้สัญญาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การเสนอเรื่องดังกล่าวยังต้องรอการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด EEC ว่าจะกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินการต่อไปอย่างไร